Wednesday, October 10, 2012

First Month เดือนแรกกับเจ้าวู้ดไพล์ของแม่


“เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก”
เพิ่งจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของประโยคนี้อย่างแท้จริงก็ตอนมีเจ้าวู้ดไพล์นี่แหละค่ะ แต่ละวันหมุนติ้วๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว

รู้สึกตัวอีกที…อะไรกัน…นี่ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วเหรอเนี่ยะ?!

ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงบ้าง หนึ่งเดือนเต็มๆที่เพิ่งผ่านพ้นไปกับบทบาทคุณแม่มือใหม่... ขอตอบอย่างไม่เกรงใจเลยว่า ยุ่งมาก! เหนื่อยมาก! ง่วงมาก! โทรมมาก! แต่ก็ต้องขอบอกอีกเหมือนกันว่ามีความสุขมากๆๆถึงมากที่สุด^^
 
ตั้งแต่วันแรกที่โรงพยาบาล 5 ชั่วโมงหลังการผ่าคลอด ก็ต้องเริ่มเข้าสู่กระบวนการดูดกระตุ้นน้ำนม คือคุณพยาบาลจะเข็นลูกน้อยมาเสิร์ฟให้ถึงห้องพัก ให้มาดูดนมจุ๊บจิ๊บๆข้างละ 20 นาที รวมเป็น 40 นาที แล้วก็เว้นไปอีก 3 ชั่วโมง ทำเป็นวงจรอย่างนี้เรื่อยไป 3 คืน 4 วันจนกระทั่งออกจากโรงพยาบาล

เจ้าวู้ดไพล์ถูกเข็นมาถึงที่ห้องพักเพื่อมาดูดกระตุ้นนมแม่เป็นครั้งแรก ไม่รู้พี่เค้างอนใครอยู่

การให้ลูกดูดกระตุ้นน้ำนมอาจจะฟังดูง่ายๆ ก็แค่เอาลูกมาจุ๊บจิ๊บๆที่แหน่นแน้น ตัวแม่ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันต้องอาศัยความถึกของผู้เป็นแม่อยู่ไม่ใช่น้อย คือทั้งที่ยังมึน อ่อนเพลีย และเจ็บแผลจากการผ่าตัดอยู่มากๆ อยากจะนอนพักยาวๆ ก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาทุกๆ 3 ชั่วโมง ช่วงกลางวันก็แทบไม่เคยได้นอนพัก เพราะมีมิตรรักแฟนเพลงมาเยี่ยมกันแบบไม่ขาดสาย อยากจะอาศัยช่วงที่ลูกมาดูดกระตุ้นนอนหลับไปก็ทำไม่ได้เพราะเจ็บแผล และปวดมดลูกมาก (เวลาที่มีการกระตุ้นหัวนมจะร่างกายจะหลั่งสารชื่อ oxytocin ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว เพราะฉะนั้นเมื่อลูกดูดนมจึงมักมีอาการปวดมดลูกตามมา) เกินกว่าจะข่มตาหลับลงได้

ขนาดเป็นการให้นมลูกในท่านอนตะแคง ที่คุณพยาบาลบอกว่าเป็นท่าที่เหมาะสำหรับคุณแม่ผ่าคลอดเพราะตัวของลูกจะไม่ไปสัมผัสกับแผลผ่าตัด ก็ยังเจ็บ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเปลี่ยนข้างพลิกตัวตะแคงไปทางซ้ายหรือขวา...โอ้ว...อย่าให้เซ่ดเลยค่ะ ที่สุดของแจ้จริงๆ

    :: ท่าให้นม ::

                       ท่าลูกนอนขวางบนตัก (Cradle hold)  

          ท่าลูกนอนขวางบนตักแบบประยุกต์ (Cross cradle hold)

                         ท่าอุ้มลูกฟุตบอล (Football hold) 

                               ท่านอน (Lying position)

 
แต่เพื่อลูกแล้ว...เจ็บหรือปวดแค่ไหน แม่ก็ทนได้...

ยิ่งเวลาที่ลูกมาซบอกดูดนมนี่...ถึงจะเจ็บแผล และปวดมดลูกมากแค่ไหน แต่น้ำตาแห่งความสุขก็ไหลนองหน้าพรากๆ...มันเป็นอะไรที่ดราม่ามาก 555

ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลนี่วู้ดไพล์เป็นเด็กดีมากค่ะ ไม่เคยเห็นลูกร้องไห้งอแงเลย เวลาที่คุณพยาบาลเข็นมาดูดกระตุ้นน้ำนมที่ห้อง ทั้งๆที่น้ำนมยังไม่ค่อยออก (มีมาให้เห็นแค่เป็นหยดๆ) ก็เป็นเด็กดีพยายามช่วยดูดกระตุ้นอย่างตั้งใจ เจอกันกี่ครั้งก็ไม่เคยร้องไห้โยเย

เห็นลูกร้องไห้แควกๆแบบไม่ติดเบรคก็ตอนฝึกอาบน้ำโน่นเลยค่ะ เห็นครั้งแรกก็ culture shock อยู่ในใจ ประมาณว่า เย้ย...กลับบ้านไปนี่ชั้นต้องเจออะไรแบบนี้ทุกคืนรึเปล่า?! แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ไม่หรอกๆ...น่าจะเป็นเฉพาะตอนอาบน้ำเท่านั้นแหละ ถูกห่อเป็นหนอนน้อยตัวอุ่นๆอยู่ดีๆ มาเจอน้ำอุณหภูมิห้องเข้าไป ก็ต้องตกใจร้องแควกๆๆเป็นธรรมดา 

แควกๆๆสุดเสียง  
 
คืนแรกที่บ้านขอบอกว่าเหนื่อยหัวฟูตาดำแพนด้ากันมากๆทั้งพิมและยุ่น คือวู้ดไพล์ไม่ได้งอแงให้เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใดเลยนะคะ มีแต่พ่อกับแม่เนี่ยะแหละที่บ้าบอแพนิคกันไปเอง ทั้งๆที่ลูกน้อยกำลังนอนหลับสบายอยู่ในเตียงเด็กอ่อนก็ไม่ยอมหลับไปพร้อมกับลูก มัวแต่กังวลกันว่าลูกที่กำลังนอนอยู่ในท่าตะแคงจะดิ้นดุ๊กดิ๊กจนกลายมาอยู่ในท่านอนคว่ำด้วยตัวเองแล้วขาดอากาศหายใจเด๊ดสะมอเหร่ไป (หมกมุ่นกับเรื่อง SIDS Sudden Infant Death Syndrome หรือภาวะไหลตายในเด็กมากเกินไปหน่อย) เลยกลายเป็นว่าทั้งพ่อและแม่ไม่มีใครนอน แต่มานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างๆเตียงนอนลูก แล้วก็จ้องลูกอยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า  =_=


ถ้าไม่นับความกังวลที่เกิดขึ้นจากตัวพ่อกับแม่เอง กับความเหน็ดเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาทิตย์แรกกับเจ้าวู้ดไพล์นี่ถือว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่นค่ะ เพราะไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนวู้ดไพล์จะนอนยาว 3-4 ชั่วโมง  พอนอนเต็มอิ่มก็จะทำตัวเป็นนาฬิกาปลุก ร้องไห้แควกๆขึ้นมาขอหม่ำนม หม่ำนมเสร็จก็นอนต่อ ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่กินกับนอน ไม่มีร้องไห้เพราะสาเหตุอื่นเลย

คุณพ่ออาบน้ำให้ที่บ้านก็ไม่มีโวย  

 

แต่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นี่เหนื่อยจริงอะไรจริงค่ะ ยิ่งช่วงสัปดาห์แรกนี่สุดๆไปเลย  เตียงนอนที่บ้านก็ไม่ใช่เตียงปรับเอนขึ้นลงแบบที่โรงพยาบาล เวลาจะขึ้น ลง หรือเอนตัวนอนเพื่อให้นมลูกนี่เจ็บแผลสุดๆ

มีคนบอกว่าเวลาลูกหลับก็ให้หลับพักผ่อนไปพร้อมกับลูก

ได้หลับจริงค่ะ แต่มันสั้นกว่าที่คิดไว้มาก!

นั่งให้นมลูกเกือบๆชั่วโมง พอให้นมลูกเสร็จก็ต้องจับลูกเรอ ซึ่งบางทีใช้เวลานานเป็นครึ่งชั่วโมงกว่าจะเรอออก 

วิธีจับลูกน้อยเรอ

หลังจากจับลูกเรอ ก็ต้องกล่อมลูกให้หลับอีก ก็ร้องเพลงกันไป บางทีแค่ฮัมๆช่วงอินโทรของเพลงก็หลับคอพับคออ่อน 

คุณยายฮัมเพลงกล่อมเจ้าวู้ดไพล์หลับสบาย
 
แต่บางที...ร้องจนหมออัลบัมแล้วลูกยังตาแป๋วเป็นนกฮูกอยู่เลย พอลูกหลับคร่อก ไอ้เราก็คิดว่า เย่...ได้เวลาเราหลับแล้ว แต่พอเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเข้านอนก็ถึงกับช็อคที่เห็นว่า อีกแป๊บเดียวก็ต้องตื่นมาให้นมลูกอีกแล้วเหรอ T___T เป็นวงจรอย่างงี้เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น เจ็บจริง เหนื่อยจริง ไม่ใช้แสตนอินเลยค่ะ

แล้วที่บ้านก็ไม่มีคุณพยาบาลมาช่วยดูว่าเราเอาลูกเข้าเต้าถูกวิธีรึเปล่า ตอนอยู่โรงพยาบาลก็อาศัยมีคุณพยาบาลคอยช่วยแก้ท่าทางให้ พอกลับบ้านมาเลยต้องมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเองเพราะรู้สึกว่าที่ทำอยู่มันยังไม่ถูก คือคุณพยาบาลบอกมาว่าถ้ารู้สึกเจ็บเวลาลูกดูดนม แสดงว่ายังเอาลูกเข้าเต้าไม่ถูกต้อง

ด้านล่างนี่เป็นท่านำลูกเข้าเต้าที่ถูกต้อง ได้มาจาก www.thaibreastfeeding.org ค่ะ (ขอขอบพระคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ)

เริ่มจากใช้มือประคองเต้านม โดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน เหนือขอบนอกของลานหัวนม  ส่วนนิ้วที่เหลือประคองเต้านมด้านล่าง (ไม่ควรใช้ท่าแบบนิ้วคีบบุหรี่ เพราะช่องว่างระหว่างนิ้วจะแคบ ทำให้ลูกอมได้ไม่ลึกพอ  และนิ้วอาจจะกดบริเวณท่อน้ำนม ทำให้น้ำนมไหลไม่ดี)


อุ้มลูกโดยใช้มืออีกข้างประคองที่ต้นคอและท้ายทอย (ไม่กดที่ใบหู) ลูกเงยหน้าเล็กน้อย เคลื่อนลูกเข้ามาโดยให้คางของลูกเข้ามาชิดกับเต้านมส่วนล่าง (สังเกตว่าจังหวะนี้จมูกของลูกจะอยู่ตรงกับหัวนมแม่) ลูกก็จะเริ่มอ้าปาก ถ้าลูกไม่อ้าปาก ให้ใช้หัวนมเขี่ยริมฝีปากล่างของลูกเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกอ้าปาก

 
รอจนลูกอ้าปากกว้าง (เหมือนหาว) จึงเคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาเต้านมอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวลก่อนที่ลูกจะเริ่มหุบปากลง จะไม่ใช้วิธีโน้มตัวแม่เพื่อนำเต้านมเข้าหาลูก







ให้ลูกอมงับถึงลานนม โดยให้อมลานนมส่วนล่างมากกว่าลานนมส่วนบน ให้คางลูกแนบชิดกับเต้านมส่วนล่าง  วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของลูกยื่นออกมารีดน้ำนมจากเต้าแม่ได้ดีขึ้น และจมูกของลูกจะอยู่ห่างออกจากเต้าแม่เล็กน้อย คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหายใจไม่สะดวก 

การอุ้มลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้แม่ไม่เจ็บหัวนมแล้ว ยังทำให้ลูกดูดนมแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย


ดูคลิปนี้ประกอบจะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นค่ะ



นอกจากเรื่องวิธีเอาลูกเข้าเต้าแล้ว ก็ยังกังวลด้วยว่าน้ำนมเราจะพอเลี้ยงลูกรึเปล่า เพราะเวลาลูกดูดเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าน้ำนมเราออกมากน้อยแค่ไหน แต่คุณหมอก็บอกวิธีการสังเกตว่าเรามีน้ำนมพอหรือไม่พอ โดยให้ดูว่า  ใน 24 ชม. นับผ้าอ้อมเปียกได้กี่ผืน  ถ้านับได้ 6-8 ผืน หรือแพมเพิร์ส 4-5 ชิ้น อึสีเหลืองทอง ถือว่าน้ำนมพอ ซึ่งพอนับๆดูก็ผ่านเกณฑ์เลยคลายกังวลลงไปได้


หลังจากอาทิตย์แรกผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลง อาทิตย์ที่สอง สาม และสี่จากที่กลางคืนเคยนอนยาว 3-4 ชั่วโมง ก็เริ่มตื่นถี่ขึ้น คือตื่นทุกๆ 1-2 ชั่วโมงเลย แถมยังมีอาการแหวะนม มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วนอนๆอยู่ก็มีการส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแปลกๆ เบ่งบ้าง คำรามบ้าง พร้อมกับบิดขี้เกียจไปมา บางทีบิดรุนแรงจนหน้าดำหน้าแดงดูทรมานมากๆ แล้วก็จบที่การร้องไห้แควกๆๆ 

เวลาพี่เค้าโวยอะไรก็เอาไม่อยู่นอกจากแหน่นแน้นของแม่
 
ครั้งแรกที่เห็นลูกมีอาการอย่างที่ว่าก็ตกใจ รีบปรึกษา คุณหมอ Google เลยได้เจอกับข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง อาการบิดตัวไปมาของทารกเนี่ยะ ถ้าเป็นคนโบราณเค้าจะเรียกว่า “บิดเรียกเนื้อ” คือมีความเชื่อกันว่ายิ่งบิดตัวไปมาบ่อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะแปลว่าลูกน้อยจะโตไวมีเนื้อเยอะมากขึ้น เค้าบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะอีกเดี๋ยวก็จะเลิกบิดไปเอง แต่นั่นเป็นเพียงความเชื่อที่ผิดๆ เพราะแพทย์แผนปัจจุบันอธิบายอาการดังกล่าวว่าเป็นหนึ่งใน 5 อาการของภาวะ overfeeding หรือการกินนมมากเกินไปนั่นเองค่ะ

อาการทั้ง 5 ข้อของภาวะ overfeeding คือ
1. นอนร้องเสียงเป็นแพะ เป็นแกะ
2. บิดตัวเยอะ ร้องเสียงเอี๊ยดอ๊าด
3. มีเสียงครืดคราดในคอ เป็นเสียงของนมที่ล้นจากกระเพาะขึ้นมาที่คอหอยแล้ว
4. แหวะนม อาเจียนบ่อย
5. พุงกางเป็นทรงน้ำเต้าตลอดเวลา

ปรึกษาคุณหมอ Google เสร็จก็ยังไม่ค่อยวางใจ เลยขนกันไปรพ.ไปปรึกษาคุณหมอตัวจริงกันอีกที ก็ได้รับการคอนเฟิร์มแบบเดียวกันเป๊ะว่าเป็นภาวะ overfeeding จริงๆ

คุณหมอบอกว่าวิธีการแก้ไขก็คือ…อย่าให้นมลูกบ่อยเกินไป คือไม่ใช่ให้นมทุกครั้งที่ลูกร้อง เวลาลูกร้องไห้ให้พยายามเบี่ยงเบนความสนใจลูก แต่ก็ลองหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลงให้ฟัง คุยเล่น  พาอุ้มเดิน แต่บทเจ้าวู้ดไพล์โยเยขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเอาอยู่เลย นอกจาก…แหน่นแน้นของแม่เท่านั้น Y-Y

ส่วนเรื่องแหวะนม คุณหมอบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอาหารของทารกแรกเกิดยังทำงานได้ไม่ดี คุณหมอเลยแนะนำให้พยายามจับเรอระหว่างการให้นมด้วย  ไม่ใช่รอจนให้นมจนเสร็จแล้วค่อยจับเรอรวดเดียว แล้วเวลานอนให้จับนอนตะแคงขวาแบบยกหัวสูงซักครึ่งชั่วโมง คุณหมอบอกว่าที่ต้องให้จับนอนตะแคงขวาก็เพื่อให้ส่วนบนของกระเพาะซึ่งอยู่ด้านซ้ายอยู่สูงกว่าส่วนอื่น น้ำนมก็จะไหลย้อนขึ้นยากหน่อย 

กลับบ้านมาลองทำตามที่คุณหมอแนะนำก็รู้สึกว่าลูกแหวะนมน้อยลงจริงๆ ใครที่มีปัญหาลูกแหวะนมอยู่ อยากให้ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ


เลี้ยงลูกกันเองนี่เหนื่อยมากจริงๆค่ะ ได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง แถมยังมีเรื่องโน้นนี้นั้นให้กังวลไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็มีความสุขมากๆๆถึงมากที่สุดทุกๆวัน

มีความสุขที่ได้เฝ้าดูทุกๆพฤติกรรม ทุกพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันของเค้า มีความสุขที่ได้ซึมซับทุกความทรงจำ ทั้งทุกข์ และสุขที่เกิดขึ้นระหว่างเราสามคนพ่อแม่ลูก 

เจ้าวู้ดไพล์พลิกหน้ากลับไปมาได้เองตอนเล่น Tummy Time อยู่บนพุงคุณพ่อ (วันที่ 17)
 
เวลาที่เหนื่อยหรือท้อ แค่มองตาใสแป๋วของลูกก็เหมือนได้เติมพลังชีวิต เหนื่อยหรือท้อแค่ไหนก็ไม่เคยคิดจะถอย

นี่เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งเดือนเอง...หนทางข้างหน้ากับเจ้าวู้ดไพล์ยังอีกยาวไกล...

สู้(ว้อย)ค่ะ!!