เมื่อวันก่อนได้ฤกษ์งามยามดีเก็บเสื้อผ้าแรกเกิดถึงสามเดือนของวู้ดไพล์ลงกล่องซะทีค่ะ
เพราะเกือบทุกชุดที่ใส่มาตั้งแต่ครั้งยังตัวจ้อยตัวจิ๋ว ตอนนี้คับติ้วตึงเปรี้ยะไปหมดแล้ว
นั่งพับเสื้อผ้าของลูกไปทีละตัว ก็นั่งนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
อย่างเจ้าชุดนี้ เป็นชุดที่วู้ดไพล์ใส่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ
วันออกจากโรงพยาบาล
วู้ดไพล์น้ำหนักตัวลดจาก 2,810
กรัม เหลือ 2,530 กรัม
ตัวเล็กกระจิ๋วหริวเหี่ยวแห้ง
ตอนที่อาบน้ำเสร็จแล้วคุณพยาบาลจับใส่ชุดหล่อที่แม่เตรียมมาให้ จำได้ว่าหลวมโพรกเลยค่ะ! ตอนนั้นก็แอบช็อคอยู่ในใจว่า
เอ้ย...นี่มันไซส์ 50
ที่เป็นชุดสำหรับเด็กแรกเกิดจริงเหรอ? หรือว่าลูกเราตัวเล็กมากๆกันนะ T^T ทำไมเสื้อกับกางเกงมันถึงได้ดูตัวใหญ่โคร่งแบบนี้?!
|
เจ้าจ้อยผอมแห้ง นั่นแขนหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวกันแน่นะ |
|
ฮึบๆ บิดตัวไปมา |
|
โชว์เต้นกังนัมสไตล์ |
|
ผิวยังลอกๆอยู่เลย |
ช่วงเดือนแรกนี่ได้ใส่ชุดนี้บ่อยมากๆค่ะ
เพราะมีเสื้อผ้าไซส์ 50 อยู่ไม่กี่ตัว
ที่ไม่ค่อยได้เตรียมเสื้อผ้าไซส์แรกเกิดไว้ก็เพราะตอนท้องไปหาข้อมูลกับบรรดารุ่นพี่แม่ๆใน
pantip มาค่ะ
เค้าแนะนำว่า ไม่ควรตุนเสื้อผ้าไซส์เล็กๆไว้เยอะ เพราะว่าลูกโตเร็วมาก
เกิดมาก็สามพันกว่าแล้ว ใส่ป๊อบแป๊บก็ต้องเปลี่ยน เสียดายตังค์เปล่าๆ
แต่กลายเป็นว่า…พิมดันคลอดตอนอายุครรภ์ได้
37 สัปดาห์ น้ำหนักแม่ขึ้นมาตั้งเยอะ T-T แต่เจ้าวพ.ได้ไปตามเกณฑ์เป๊ะๆ (ทิ้งส่วนเกินไว้กับแม่เพียบ ปล.ขอฝากไว้กับคุณแม่ท้องนะคะ
ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องบำรุงเยอะเกินไปนะคะ พยายามทำให้ได้ตามที่คุณหมอแนะนำ
คือให้น้ำหนักขึ้นรวมทั้งสิ้นอยู่ระหว่าง 10-12 กก.
ถ้าเกินกว่านั้นเหนื่อยลดหลังคลอดค่ะ ทั้งๆที่เลี้ยงลูกเองไม่มีพี่เลี้ยงช่วย
และเลี้ยงด้วยนมแม่ล้วน แต่นี่จะห้าเดือนแล้วยังลงไม่หมดเลย ฮือ...เศร้าใจ) แถมตอนออกจากโรงพยาบาลยังน้ำหนักลดลงมาอีก เสื้อผ้าของเด็กสามเดือนขึ้นไปที่เตรียมไว้เยอะแยะก็เลยต้องเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าไปก่อน
เห็นชุดสีฟ้าตัวเก่งของวู้ดไพล์ชุดนี้อีกครั้ง
ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวสุขๆทุกข์ๆในช่วงแรกเริ่มของการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
จำได้ว่าเวลาจะอุ้มลูกแต่ละทีนี่ตื่นเต้นมากๆ ตัวพิมเองก็ยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่
จะลุกออกจะเตียงนอนจะก้มจะนั่งแต่ละที แสนลำบาก ท่าทางการอุ้มลูกก็ยังเก้ๆกังๆ กลัวทำลูกเจ็บบ้าง
กลัวทำหล่นบ้าง อุ้มเสร็จปวดเมื่อยไปทั้งตัวอย่างกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเสร็จ
|
แม้จะอุ้มลูกแบบเก้ๆกังๆ แต่ลูกก็ยังหลับสบายในอ้อมอกแม่ (ฮ่าๆๆ ก็ตอนนั้นยังโวยไม่เป็นหนิ ลองเป็นตอนนี้สิ มีบ่นแน่นอน) |
ช่วงเดือนแรกนี่เหมือนกับว่าจะ “ทุกข์มากกว่าสุข” คือทั้งๆที่ยังเจ็บแผลบวกกับมีอาการเท้าบวมหลังผ่าตัด แต่ก็ต้องพยายามเดิน
หรือเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อแผลจะได้ไม่เป็นพังผืด นอนก็ไม่ค่อยได้นอน
เพราะวู้ดไพล์ตื่นมาหม่ำนมบ่อยมากๆทุก 1-2 ชม.
เจ็บหัวนมมากแต่โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นหัวนมแตก หน้าโทรม
ขอบตาดำจนแพนด้ายังต้องเรียกทวด เสียงก็แหบแห้งเพราะร้องเพลงกล่อมลูก ต้องพยายามทานอาหารเรียกน้ำนมทั้งๆที่เบื่อแสนเบื่อ
มีคนบอกเวลาลูกหลับให้เราหลับไปพร้อมกับลูก
ก็ไม่เคยได้ทำ (คือทำได้...แต่ไม่ทำ ฮ่าๆๆ
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าตัวเองดี)
เพราะเวลาที่ลูกหลับก็ชอบนอนเฝ้าลูก (เรียกว่านอนจ้องหน้าลูกจะถูกกว่า)
กลัวว่าลูกจะดิ้นจากผ้าที่ห่อตัวอยู่แล้วผ้ามาอุดจมูกหายใจไม่ออกบ้าง
กลัวลูกตกใจตื่นบ้าง บวกกับอารมณ์เห่อจัด อยากจะมอง
อยากจะพิจารณาใบหน้าน้อยๆปากนิดจมูกหน่อยของลูกน้อยอยู่ตลอดเวลา
|
ตัวเหี่ยวเป็นคนแก่เลย |
|
จู่ๆก็เลื่อนมือมาทำท่าแอ๊บแบ๊วเด็กน้อยนอนฝันถึงอะไรอยู่น้า? |
|
จริงๆแล้วปากก็ไม่ “นิด” ซักเท่าไหร่นะ เอิ๊กๆ |
แถมยังมีเรื่องอื่นๆให้กังวลอีกสารพัด
ไม่ว่าจะเป็น...
อาการตัวเหลือง
จริงๆแล้วค่าตัวเหลือของวู้ดไพล์ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วงค่ะ
เพราะว่าคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้
ไม่ต้องอยู่รพ.ต่อเพื่อเข้าตู้ส่องไฟแต่อย่างใด
แต่ก็ยังถือว่ามีอาการตัวเหลือง
คุณหมอก็กำชับให้พาวู้ดไพล์ตากแดดอ่อนๆตอนเช้าทุกวัน
คุณพ่อยุ่นก็พาออกไปอาบแดดมันทุกเช้าค่ะ
|
อาม่ามาเยี่ยมที่บ้าน เลยจับหลานชายอาบแดดยามเย็นซะเลย |
|
คุณพ่อพาเดินรับแดดอ่อนๆทุกเช้า
ปล.นี่ไม่ใช่หน้าบึ้งเพราะโกรธใครมานะคะ แต่เป็นหน้าง่วง(มากๆ)ของคุณพ่อยุ่นค่ะ
|
|
หลับพริ้มตลอด ไม่รู้เรื่องรู้ราว |
|
อาบแดดอ่อนๆตอนเช้ากันหน่อยนะครับ |
|
เอาแผ่นหลังของลูกหันหาแดด ประมาณ 10-15 นาทีค่ะ |
แต่กว่าจะหายเหลืองสนิทจริงๆก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มเลยค่ะ
อาการตาแฉะมีขี้ตามาก จนต้องหยอดตา+ทานตั้งแต่อายุได้แค่
7 วัน
|
น่าสงสารเด็กตาแฉะ |
จำได้เลยว่าตอนต้องหยอดกับป้อนยาผ่านไซริงค์ให้ลูกครั้งแรกนี่
บ่อน้ำตาแตกตู้มเลยค่ะ สงสารลูกมาก เพิ่งเกิดมาได้แค่อาทิตย์เดียว เคยหม่ำแต่นมแม่อุ่นๆหวานๆมาตลอด
จู่ๆต้องมาเจอยารสชาติแปลกๆ แถมเย็นเจี๊ยบ แต่วู้ดไพล์เก่งมากค่ะ ไม่มีร้องไห้
หม่ำยาเอื๊อกๆ ใช้เวลาประมาณ 4 วันก็หาย
แต่หายไปได้แค่อาทิตย์เดียว อาการตาแฉะก็กลับมาอีกค่ะ
แต่ครั้งนี้ไม่ยอมใช้ยา คือจริงๆคุณหมอบอกว่าให้ใช้ได้
แต่ตัวเองคิดว่ามันติดกันเกินไปมั้ย สงสารลูก
เลยถามคุณหมอว่าถ้าไม่ใช้ยาจะทำยังไงได้บ้าง
คุณหมอเลยบอกให้หมั่นใช้สำลีจุ่มน้ำต้มสุกเช็ดตาลูก
วิธีนี้ต้องอดทนหน่อย ใช้เวลาอาทิตย์กว่าถึงจะหายค่ะ
พอโตขึ้นอีกหน่อย อาการตาแฉะก็หายไปค่ะ
จำได้ว่าตอนตัดผมไฟตาก็กลับมาใสปิ๊ง ไม่แฉะแล้ว^^
อาการสะดือโป่ง
ฮ่าๆ ไม่เคยได้ยินกันใช่ไหมคะ
พิมก็เพิ่งจะรู้จักอาการนี้ก็ตอนมีวู้ดไพล์เนี่ยะล่ะค่ะ
ก่อนหน้านี้รู้จักแต่สะดือจุ่น
คือจริงๆแล้วมันมีชื่อที่เป็นทางการว่า “ไส้เลื่อนที่สะดือ”
(Umbilical Hernia) ค่ะ ฟังดูน่ากลัวใช่มั้ยคะ
คุณหมอบอกว่ามักพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด (วู้ดไพล์คลอดตอน 37 สัปดาห์) เพราะว่าผนังหน้าท้องบางจุดของวู้ดไพล์ยังอ่อนแอ ทำให้ลำไส้เล็กเลื่อนเข้าไปอัดอยู่ในบริเวณนั้น
โดยเฉพาะเวลาที่ลูกร้องไห้ บิดขี้เกียจ หรือเบ่ง(อึ) บริเวณสะดือมันจะโป่งค่ะ เคยวัดได้เส้นผ่าศูนย์กลาง
3 ซม.โน่นเลย
|
สะดือปกติ |
|
ลำไส้เล็กผลุบเข้าไปอย่างนี้ค่ะ |
|
สะดือเลยโป่งอย่างนี้ |
หัวอกแม่ตอนเห็นสะดือลูกโป่งออกมายังกับลูกมะนาวนี่ลมแทบจับค่ะ
คือทั้งตกใจ
และกังวลว่าเค้าจะเจ็บหรือมันจะบานปลายไปจนถึงต้องขึ้นเขียงผ่าตัดรึเปล่า (คุณหมอบอกว่า
ไม่ต้องเป็นกังวลไป ส่วนใหญ่มักจะหายเองก่อน 2 ขวบ แต่ถ้าเลย 2 ขวบแล้ว ยังไม่หาย
หรือเส้นผ่าศูนย์กลางถึงระดับ 5 ซม.เมื่อไหร่ล่ะก็
ต้องเข้ารับการผ่าตัด )
ผ่านมาจะ 5 เดือนแล้ว ตอนนี้เล็กลงเยอะแล้วค่ะ
ฟิ้วว...ค่อยยังชั่ว
สีผิวและสีปากของลูกที่ค่อยๆคล้ำลงจนผิดสังเกต
|
วันแรกยังแดงๆอยู่เลย |
|
เกิดอะไรขึ้นกับวู้ดไพล์?! เริ่มล่กขึ้นมาว่าลูกเราไม่สบายตรงไหน เป็นอะไรรึเปล่านะ |
คือไม่ได้กังวลว่าวู้ดไพล์จะผิวคล้ำรึเปล่านะคะ แต่ดั๊นไปอ่านเจอมาว่า
เด็กทารกที่มีสีของริมฝีปากดำคล้ำอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทารกคนนั้นป่วยเป็นโรคหัวใจ
เท่านั้นล่ะ จะเป็นลม ถึงกับวิ่งโร่ไปปรึกษาคุณหมอถึงโรงพยาบาล สรุปคุณหมอบอกว่าโรคหัวใจจะดูแค่ที่ริมฝีปากไม่ได้
ต้องดูสีของลิ้นร่วมด้วย ถ้าลิ้นยังแดงอยู่อย่างนี้ แสดงว่าไม่มีปัญหา
เรอยาก
จับพาดบ่าเป็นครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เรอ ทำให้เวลานอนหลับไปแล้วจู่ๆก็บิดเบ่งจนหน้าดำหน้าแดง
หรือที่โบราณเค้าเรียกว่าบิดเรียกเนื้อนั่นแหละค่ะ เวลาลูกบิดเบ่งทีก็เครียดค่ะ
คือเค้าจะทำหน้าตาเหมือนเจ็บปวดทรมานมากๆ
ไอ่เราก็ไม่รู้จะช่วยลูกยังไงเพราะพยายามจับลูกเรอเท่าไหร่ลูกก็ไม่เรอ ได้แต่นั่งมองดู
เอาลูกขึ้นมากอด แล้วก็เอาลูกขึ้นพาดบ่าพยายามให้ลูกเรอต่อไป
|
คุณพ่อจับเรอด้วยการพาดบ่า |
ฯลฯ
เคยแอบคิดในใจว่า
“โอยยยยย เมื่อไหร่ลูกจะโตซะที อยากจะก้าวข้ามผ่านความทรมานทางกายและใจเหล่านี้จะแย่แล้ว”
ถึงวันนี้ วันที่ต้องพับเสื้อผ้าของลูกน้อยลงกล่อง
|
คับติ้วแล้ว ได้เวลาเก็บลงกล่องแล้วจ้า
|
นึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเสียใจจังที่เคยคิดอยากให้ลูกรีบๆโตเพื่อที่เราจะได้สบายเร็วขึ้น
ตอนนี้กลับรู้สึก “ใจหาย” ว่าทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วนักนะ
ลูกน้อยที่เคยตัวจ้อยตัวจิ๋วของเราที่ครั้งนึงพิมกับยุ่นเคยตั้งฉายานามให้ว่า
“เจ้าจ้อย” กำลังจะโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยเหรอเนี่ยะ
|
เจ้าจ้อยของคุณพ่อคุณแม่ |
|
เจ้าจ้อยโตเป็นหนุ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว |
แล้วอีกไม่นาน...ก็จะเป็นวัยรุ่น เริ่มจีบสาว ทำงาน
แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เราจะมีโอกาสได้ดูแลลูกน้อยของเราอีกนานเท่าไหร่กันเชียว (ฮ่าๆๆ พอ! นี่ลูกยังไม่ห้าเดือนเลยนะ)
สมัยเพิ่งเรียนจบปริญญาโท
จำได้ว่าเคยทะเลาะกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยเรื่องที่ท่านไม่อยากให้พิมไปเที่ยวกลางคืน
ทุกครั้งที่ไปเที่ยว กลับบ้านมาตีสองตีสามก็จะเจอไม่คุณพ่อ
ก็คุณแม่ นั่งหลับรอพิมอยู่ในมุมมืด
ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดมาก อารมณ์ประมาณลูกโตขนาดนี้แล้ว
รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
ทำไมต้องมานั่งรอหรือโทรศัพท์ตามกลับบ้านเหมือนเป็นเด็กเล็กๆด้วย หึ่ยยย...
คุณพ่อคุณแม่เคยพูดกลับมาว่า
“ถึงลูกจะโตแค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาของพ่อแม่เสมอ”
ฮือ...ลูกผิดไปแล้ว เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่
ก็วันที่มีลูกเป็นของตัวเองนี่แหละ
ภาพวันที่ลูกเกิด ภาพวันที่เราอุ้มลูกครั้งแรก
ภาพวันที่ให้นมแม่กับลูกครั้งแรก ภาพวันที่นั่งจ้องหน้าลูกในชุดหลวมโพรก
ภาพวันที่ลูกนอนหลับปุ๋ยแล้วยิ้มให้เรา(ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นรีเฟลกซ์ก็ยังดีใจมากๆ)
ภาพที่ลูกสบตากับเราเป็นครั้งแรก ฯลฯ ภาพพวกนี้
มันเป็นภาพติดตาที่ไม่มีวันจะลบออกจากความทรงจำได้จริงๆ
ตอนนี้วู้ดไพล์จะ 5 เดือนแล้ว แต่ทุกภาพตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันก็ยังชัดเจนอยู่มากๆในความทรงจำของแม่
และแม่ก็เชื่อว่า มันจะยังชัดเจนอย่างนี้เรื่อยไปแม้เวลาจะผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ตาม